วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2554

เทคนิคการแปลงไฟล์ Hi-Def (.Mkv) เป็น DVD แบบ Step by Step


เทคนิคการแปลงไฟล์ Hi-Def (.Mkv) เป็น DVD แบบ Step by Step

Posted: 01 Jan 1970 Read: 95573 Comment: 46

                  ช่วงนี้กระแสภาพยนตร์ Hi-Def  สำหรับคนงบน้อยหรือเรียกกันอย่างง่ายๆ ว่าภาพยนตร์ Hi-Def ที่มีนามสกุลตั้งแต่ .mkv .wmv หรือแม้กระทั้ง .avi กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่คนทั่วๆ ไป เพราะไม่ว่าภาพและเสียงที่ได้รับนั้นค่อนข้างจะใกล้เคียงกับภาพยนตร์ที่มาจากต้นฉบับอย่าง Blu-Ray Disc หรือ HD-DVD แถมไฟล์ที่ได้ยังมีขนาดเล็กอีก ซึ่งก็อย่างที่ทราบกันว่าภาพยนตร์เหล่านี้มักต้องเล่นในโปรแกรมจำพวก VLC Player หรือ K-Lite ซึ่งมีอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์เท่านั้น และไม่สามารถไปเล่นกับเครื่องเล่น DVD ได้ แล้วอย่างนี้ถ้าเกิดมีคนประสงค์ต้องการจะนำไปเล่นในเครื่องเล่น DVD ล่ะจะทำอย่างไร ซึ่งวันนี้ในส่วนของ How-To ผมจะพาไปพบกับวิธีการแปลงไฟล์จำพวก .mkv .wmv หรือไฟล์จำพวก Hi-Def ต่างๆ ให้มาอยู่ในรูปแบบของ DVD 5.1 ร่องเสียงแบบสามารถเลือก Subtitle ได้และให้สูญเสียความละเอียดน้อยที่สุด
                   แต่ก่อนจะเข้าสู่วิธีปฏิบัติในขั้นตอนต่อไป ผมขอนั่งยัน นอนยันตรงนี้ก่อนเลยว่า เรื่องที่จะนำเสนอต่อไปนี้ไม่ได้พยายามหรือจงใจจะบอกวิธีในการก่ออาชญากรรมทางความคิดหรือทรัพย์สินทางปัญญาแต่อย่างใด เพียงแต่ต้องการนำความรู้ตรงส่วนนี้มาเผยแพร่ให้สำหรับคนที่มีความจำเป็นต้องใช้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับสามัญสำนึกผิดถูกของแต่ละคน
เอาล่ะครับจบอารัมบทที่ยืดยาวกันไปแล้วมาเริ่มกันเลยดีกว่า...

โปรแกรมที่ต้องใช้สำหรับการปฏิบัติการณ์ในครั้งนี้
1. ไฟล์ Hi-Def นามสกุล mkv (ได้ทุกขนาดตั้งแต่ 480p-1080p) แต่แนะนำให้ใช้ 1080p
2. โปรแกรม K-Lite Codec Pack
3. โปรแกรม TMPG Enc 4.xx สำหรับแปลงไฟล์เสียงเป็น WAVE
4. โปรแกรม EncWAVtoAC3 เพื่อไว้ใช้ถอดรหัสเสียงให้เป็น AC3 (Dolby Digital)
5.โปรแกรม ConvertXtoDvd 3 เพื่อใช้ในการถอดรหัสไฟล์เป็น DVD
6.โปรแกรม Cyberlink PowerDVD หรือเครื่องเล่น DVD Player เพื่อใช้ในการทดสอบ

                  บอกกล่าวก่อนปฏิบัติ
                 สำหรับเหตุที่ต้องใช้โปรแกรม TMPG Enc 4.xx แปลงเป็น Wave ก่อนนั้น  เพราะเท่าที่ผมได้ลองทำดู โปรแกรม ConvertXtoDvd 3 นี้ในบางระบบเสียงเช่น DTS โปรแกรมมักทำการแปลงร่องเสียงผิดพลาด ทำให้เสียงลำโพงตรงกลางตกไปอยู่ด้านขวาแทน ซึ่งการทำเป็น WAVE ก่อนนั้นจะเป็นวิธีแบบแมนวลที่ดีที่สุด (ถึงวิธีจะยุ่งยากก็ตาม) ซึ่งติดตามได้ในขั้นตอนต่อไป
                  ลงมือปฏิบัติ
                   1. อย่างแรกต้องมีไฟล์ Hi-Def ต่างๆ เช่น .Mkv .Wmv หรือ . Avi ก่อน
                   2. จากนั้นติดตั้งโปรแกรม K-Lite ให้เรียบร้อยเพื่อที่เราจะได้ใช้ Codec (ตัวถอดรหัสวิดีโอและเสียง) ของตัวโปรแกรมได้
                   3. ลำดับต่อไปเราต้องทำการถอดรหัสเสียงของไฟล์ Hi-Def ออกมาให้อยู่ในรูปแบบของไฟล์เสียงดิบ (WAVE หรือ .wav) โดยอันดับแรกให้เข้าโปรแกรม TMPGEnc 4.x Express
                  4. จากนั้นกดตรง Start a new Project หรือกดที่ Source ด้านบนก็ได้
                 
                  5. กด Add File ที่มุมขวาบนจากนั้นจะขึ้นหน้าต่าง Open ขึ้นมา ซึ่งเราต้องเปลี่ยนช่อง Drop Down List ด้านหลัง File name เป็น All Files โปรแกรมถึงจะเห็นไฟล์ Hi-Def ของเรา โดยเมื่อเลือกไฟล์เสร็จให้กด Open
 
                  6. หลังจากกด Open จะปรากฏหน้าต่างดังรูปด้านล่างให้กด OK เลย
                  7. และจะกลับมาอยู่ที่หน้าเดิมให้กด Format ที่ด้านบนเพื่อไปขั้นตอนต่อไป ซึ่งจะปรากฏผลดังภาพด้านล่าง
                 8. ให้เลือกบริเวณด้านซ้ายในส่วน Audio Only Formats ให้เลือก WAVE File Output จากนั้นกด Select
                 9. จะมาอยู่ในหน้าดั่งภาพด้านล่าง ให้เรานำเมาส์ไปคลิ๊กเลือกที่ 48000 Hz, 16 bit, 5.1 ch (surround) จากนั้นกดที่ Encode เพื่อไปต่อเลย
                 10. ที่นี้เราจะมาอยู่ในส่วน Encode ซึ่งตรง Output File name: เราสามารถกด Browse เพื่อหาที่เก็บไฟล์ใหม่ได้ หรือจะป้ายตรงช่องขาวๆ แล้วลบจากนั้นค่อยพิมพ์ชื่อไดร์วและไฟล์ที่จะจัดเก็บก็ย่อมได้ โดยเมื่อเสร็จสิ้นแล้วให้กดปุ่มซ้ายล่างอันแรกตามภาพที่ทำลูกศรไว้ ซึ่งตรงนี้ผมจะขออธิบายว่า เสียงจากไฟล์ Hi-Def ถ้าของใครมีทั้งไทยและอังกฤษ โปรแกรมจะทำการเซ็ทค่าภาษาอังกฤษเป็นค่าเริ่มต้น ซึ่งถ้าใครต้องการภาษาอื่นๆ เช่นภาษาไทย เราสามารถเปลี่ยนได้ โดยให้คลิ๊กขวาที่โปรแกรม Haali Media Splitter (ไอคอนขาวๆ ที่โผล่มา 2 ตัว)ซึ่งอยู่ในส่วน System Try ด้านขวาล่าง ตามภาพ โดยต้องคลิ๊กเลือกภาษาจากโปรแกรมที่กล่าวทั้ง 2 ตัวด้วยความรวดเร็ว (ย้ำ ต้องเปลี่ยนภาษาจากโปรแกรมทั้ง 2 ตัวที่ขึ้นมาด้วยความเร็ว)  ไม่เฉ่นนั้นภาษาจะไม่เปลี่ยน หรือถ้าไม่รีบเปลี่ยนภาษาแล้วไปเปลี่ยนตอนหนังเดินเรื่องไปแล้วอาจทำให้ภาษาพูดนั้นทับซ้อนกันได้ เพราะฉะนั้นเมื่อกดปุ่ม Encode เสร็จให้รีบเปลียนภาษาโดยเร็วที่สุดโดยเร็ว
                 11. จากนั้นรอแถบวิ่งจนครบ 100% ก็จะถือเป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการแรก      
                หมายเหตุ ถ้าต้องการภาษาพูดหลายๆ ภาษาในแผ่น DVD ให้ทำซ้ำขั้นตอนสุดท้ายในส่วนของ Encode ที่กล่าวมานี้จนกว่าจะเลือกภาษาครบ (เท่ากับมีไฟล์ Wav เท่าจำนวนภาษาที่ได้ทำไป)
                12. โดยตอนนี้เราจะได้ไฟล์เสียงดิบๆ ที่เป็น 5.1 ร่องเสียงมาแล้วซึ่งให้ทำการทดสอบไฟล์ด้วยการเปิดกับโปรแกรม Windows Media Player ซึ่งจำเป็นต้องใช้ลำโพง 5.1 ร่องเสียงเพื่อตรวจสอบความถูกต้องของเสียง โดยเมื่อทดสอบเสร็จต่อไปเราจะทำให้ไฟล์เสียงดิบๆ เหล่านี้กลายเป็นไฟล์ AC3 หรือ Dolby Digital 5.1 ตามมาตราฐาน DVD ด้วยโปรแกรม EncWAVtoAC3
               13. เมื่อเปิดโปรแกรม EncWAVtoAC3 ให้เราคลิ๊กที่ Files แล้วเลือก Add Files จะปรากฏหน้าต่างดังภาพให้เลือกไฟล์เสียงดิบที่เราได้ถอดรหัสออกมา โดยสามารถเลือกได้หลายไฟล์พร้อมๆ กัน ให้เลือกไปเท่าจำนวนไฟล์เสียงที่เราริปมา จากนั้นกด Open
               14. จะกลับมาอยู่ที่หน้าเดิม โดยมีชื่อไฟล์ที่เราได้เลือกปรากฏอยู่ให้เห็น จากนั้นกด Encode เพื่อถอดรหัสเป็นไฟล์ AC3 รอจนเสร็จ
               15. เมื่อเสร็จสิ้นเราจะได้ไฟล์ .AC3 มาซึ่งสามารถเช็คความถูกต้องได้โดยครวจสอบกับโปรแกรม Nero Showtime หรือ Power DVD ก็ได้ เมื่อทุกอย่างสมบูรณ์ก็ถือว่าเสร็จกระบวนการที่สอง
               16. มาถึงกระบวนการสุดท้าย เราจะทำการแปลงไฟล์ทั้งหมดที่เรามีเป็น DVD ด้วยโปรแกรม ConvertXtoDvd 3 กัน ซึ่งสำหรับโปรแกรมนี้จะมีหน้าตาที่ใช้งานไม่ยาก โดยอันดับแรกเมื่อเราเข้ามาในโปรแกรมให้คลิ๊กที่ File จากนั้นกด Add Video File(s) แล้วให้เลือกไฟล์หนัง Hi-Def ที่เราต้องการแปลงเป็น DVD จากนั้นกด Open
               17. เมื่อกด Open แล้วไฟล์จะไปปรากฏอยู่ในส่วนของ Tree View โดยจะแบ่งเป็นสองส่วนย่อยๆ ตามภาพ

 
                โดยส่วนที่ 1 จะเป็นส่วนของ Menu DVD ซึ่งโปรแกรมจะบังคับให้สร้างอยู่แล้วก็ไม่ต้องไปยุ่งอะไรในส่วนนี้ แต่สำหรับส่วนที่ 2 จะเป็นค่าของตัวไฟล์ ซึ่งเราจำเป็นต้องยุ่งเกี่ยวด้วยกันสองส่วนคือ Audio และ Subtitle โดยเราจะมาดูที่ Audio กันก่อน ซึ่งเมื่อเราคลิ๊กลงไปที่ Audio รายการเมนูก็จะเพิ่มขึ้นมาโดยจะเป็นภาษาพูดของภาพยนตร์เรื่องนั้น เช่น ตามตัวอย่างภาพยนตร์เรื่องนี้มีภาษาพูด ภาษาเดียวคืออังกฤษ ก็จะขึ้นอยู่ภาษาเดียวคือ English แต่เราจะไม่จำเป็นต้องใช้เสียงจากในไฟล์เพราะในตอนนี้เรามีไฟล์ AC3
ที่ได้แปลงไว้เรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้นให้ทำการคลิ๊กขวาบน ภาษาพูดที่ปรากฏ ตามตัวอย่างคือ English จากนั้นให้กด Remove Audio Stream ทำอย่างนี้ทุกภาษา จนเหลือจำนวนในวงเล็บเป็น 0 Stream
                 18. ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการเพิ่มไฟล์เสียง AC3 ที่เราได้ทำการแปลงไว้เสร็จเพื่อมาแทนที่ไฟล์เก่า โดย ให้คลิ๊กขวาที่ Audio จากนั้นเลือก Add Audio ซึ่งก็ให้เราไปเลือกไฟล์ AC3 ที่เมื่อสักครู่ได้แปลงไว้ทั้งหมด โดยสามารถเลือกได้ทีละไฟล์ จากนั้นกด Open
                 19. ที่นี้เราก็จะได้ไฟล์เสียงของเรามาแล้ว ก็ยังสามารถทำการปรับแต่งชื่อภาษาได้ ถ้าเกิดชื่อไม่ตรง โดยให้คลิ๊กขวาตรงชื่อภาษาจากนั้นเลือก Edit Properties
                 20. ในส่วนของ Subtitle เราก็สามารถเพิ่ม ลด  ได้ โดยวิธีการก็เช่นเดียวกับการเพิ่ม ลดในส่วนของ Audio นั่นเอง
                 21. เมื่อทุกอย่างเสร็จที่นี้ให้เรามาดูในส่วนของคุณภาพหลังการแปลงกันบ้าง ซึ่งวิธีการดูก็ให้ดูจากไฟจราจรด้านซ้ายล่าง ดังภาพ โดยถ้าเป็น สีเขียว แปลว่าหลังจากแปลงแล้ว คุณภาพที่ได้ยังคงชัดเจนคล้ายต้นฉบับที่สุด ส่วนถ้าเป็นสีเหลือง แสดงว่าคุณภาพจะลดหย่อนไม่เท่าต้นฉบับ (อาจมีภาพแตก แต่ไม่น่าเกลียด) ซึ่งก็พอรับได้ ส่วนถ้าขึ้นเป็นสีแดง แสดงว่า ภาพที่ได้หลังการแปลงคุณภาพอยู่ในเกณฑ์ที่แย่มาก ซึ่งทางแก้นั้นมีครับ แต่จะพูดในส่วนต่อไป
                 22. หลังจากนั้นเราจะมาเซ็ทค่าก่อนการแปลงกันครับ โดยให้คลิ๊กที่ Tab Settings จากนั้นเลือก General ซึ่งในส่วนนี้เราสามารถเปลี่ยนที่อยู่ Folder ของงานได้ ซึ่งวิธีการเปลี่ยนก็คือ คลิ๊กที่รูป แฟ้มเอกสารเล็กๆ ด้านขวามือ และในส่วนอื่นๆ จะเห็นมี Tab ต่างๆ มากมาย แต่ผมจะขอปรับแค่ 3 ส่วนหลักๆ คือ Audio, Encoding และ Burning
                 23. มาในส่วนของ Auido กันก่อน อย่างที่ทราบว่า เราได้นำไฟล์ที่ถูกถอดรหัสเป็น AC3 เรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้นกันเหนียวให้ติ๊กเอาเครื่องหมายถูกหน้า Convert DTS to AC-3 (Better Compatibility) ออก
                 24. ในส่วนของ Encoding อันนี้สำคัญมาก เพราะเกี่ยวกับคุณภาพโดยตรง โดยวิธีการที่ถูกต้องคือในช่องแรก Encoding quality ให้เลือกเป็น High quality (อาจช้าหน่อยแต่ชัวร์) ส่วน Tager size จะมีวิธีการเลือกคือ ถ้าภาพยนตร์ที่เรานำมาแปลงมีความยาวไม่เกิน 2 ชั่วโมงให้เราเลือกแค่ DVD5 ก็เพียงพอ แต่ถ้าภาพยนตร์ที่เรานำมาแปลงมีความยาวมากกว่า 2 ชั่วโมงเป็นต้นไป แนะนำให้เลือกเป็น DVD9 ซึ่งสำหรับคนที่ไม่สามารถหาแผ่นดีวีดี 9 ได้ให้ติดตามในส่วน ของแถม ท้าย How-To นี้ครับ
                25. และสุดท้ายในส่วนของ Burning แนะนำให้เราเลือกช่องด้านบนเป็น ISO Image in working folder จะดีที่สุดครับ เพราะถ้าเลือกให้ไรท์แผ่นหลังการแปลงไฟล์เสร็จเลย ในบางครั้งไฟล์อาจไม่สมบูรณ์และทำให้แผ่นเราเสียได้ครับ ซึ่งเมื่อเลือกเสร็จก็ให้กด OK และตอบ Yes ไปเรื่อยๆ
                26. เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยให้กดปุ่ม  ก็ถือเป็นการเสร็จสิ้นพิธีทุกๆ อย่าง

 
                ของแถม
                สำหรับใครที่แปลงเป็น DVD9 มาแล้วต้องการแบ่งเป็น 2 แผ่น DVD 5 ก็สามารถทำได้อย่าง่ายๆ โดยใช้โปรแกรม DVD Fab โดยในตอนนี้เป็นเวอร์ชั่น 5.2 แล้วซึ่งวิธีการก็คือ เมื่อเข้าไปในโปรแกรมรีบร้อยแล้ว ให้กดที่รูป Folder สีเหลืองในส่วนของ Source จากนั้นเลือก Folder ที่มีไฟล์ DVD9 เก็บอยู่แล้วกด OK และต่อไปให้เลือกในส่วนของ Target ว่าจะไปไว้ที่ใด โดยเมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วให้นำเมาส์ไปกดข้อความมที่เขียนว่า Split (บริเวณด้านซ้ายรูปแผ่นเขียวๆ) จากนั้นก็กด Start  โปรแกรมจะทำการแบ่งแผ่นให้เองอัตโนมัติ เป็นอันเสร็จสิ้นภาระกิจ
 
               เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับ How-to เรื่องของการแปลงไฟล์ Hi-Def เป็น DVD ซึ่งผมก็หวังว่าคงเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน และขอความกรุณาอย่านำวิธีการเหล่านี้ไปทำสิ่งที่ผิดกฏหมายนะครับ ขอบคุณครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น